ag3772.com
คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจเรื่อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ มาตรา 39 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20100/2555 ป. วิ. อ. มาตรา 39(4) แม้ตามฟ้องคดีนี้จะระบุว่าเหตุเกิดระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม 2548 ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2548 ก็ตามแต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความจากคำเบิกความของ ม. ผู้เสียหายที่ 1 และ ป. เพื่อนผู้เสียหายที่ 1 ตรงกันว่า ระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม 2548 ถึงวันที่ 14 สิงหาคม 2548 ผู้เสียหายที่ 1 ได้ออกจากบ้านไปพักอยู่กับ ป. มาโดยตลอด จนกระทั่งวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ผู้เสียหายที่ 1 จึงเดินทางจากบ้านของ ป. ที่จังหวัดนครราชสีมาไปหาจำเลยที่จังหวัดอุบลราชธานีโดยจำเลยโอนเงินค่ารถไฟไปให้ 300 บาท แล้วจำเลยพาผู้เสียหายที่ 1 ไปอยู่ด้วยกัน ดังนั้นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ของจำเลยจึงเกิดขึ้นและเป็นความผิดสำเร็จในวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ซึ่งข้อแตกต่างกันเกี่ยวกับเวลากระทำความผิดเช่นนี้ตาม ป.
ก. พ. จังหวัด อ. กรม หรือ อ. กระทรวง ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาสังกัดอยู่ แล้วแต่กรณีพิจารณา เมื่อ อ. ดังกล่าวมีมติเป็นประการใด ให้ผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอํานาจ สั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎ ก. พ. กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็น ความผิดอาญาและถูกศาลตัดสินลงโทษจําคุกซึ่งมิใช่ความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ซึ่งถือว่า เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 85 (6) ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจะต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทําการ สอบสวนว่า นาย ก. ได้กระทําความผิดอาญาและถูกศาลตัดสินลงโทษจําคุกจริงหรือไม่ เมื่อคณะกรรมการสอบสวน ดําเนินการเสร็จให้รายงานผลการสอบสวนและความเห็นต่อผู้บังคับบัญชา (ตามมาตรา 93) ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า นาย ก. ถูกศาลตัดสินลงโทษจําคุกในความผิดอาญาฐาน ลักทรัพย์จริง ซึ่งเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาส่งเรื่องให้ อ. กระทรวง ซึ่งนาย ก. สังกัดอยู่แล้วแต่กรณีพิจารณา เมื่อ อ. ดังกล่าวมีมติประการใดให้ผู้บังคับบัญชาสั่ง หรือปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น แต่ห้ามมิให้ลงโทษต่ํากว่าปลดออก (ตามมาตรา 97) สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของนาย ก.
ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง หมายถึง การกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดนั ้นๆ ไม่ได้หมายถึงฐานความผิด ดังนั้น การกระทำความผิดในคราวเดียวกัน หรือการกระทำกรรมเดียวผิดต่ อกฎหมายหลายบท เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้ว โจทก์จะฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ แม้จะขอให้ลงโทษคนละฐานความผิ ดก็ตาม (ฎ. 4656/12) การกระทำกรรมเดียวกันมีผู้เสี ยหายหลายคน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งได้ฟ้ องคดีจนศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ ผู้เสียหายคนอื่นก็จะนำคดีมาฟ้ องใหม่อีกไม่ได้ เช่น รับของโจรไว้ หลายรายการในคราวเดียวกัน แม้จะเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายต่ างรายกัน ก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ ดขาดแล้ว โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานรั บของโจรทรัพย์รายการอื่นอีกไม่ ได้ (ฎ. 7296/44ล 4747/33, ) หรือหมิ่นประมาทบุ คคลหลายคนในคราวเดียวกัน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดี จนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงั บไปตามมาตรา 39(4) ผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้ องจำเลยอีกไม่ได้ (ฎ. 1853/30) แต่ถ้าผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้ องจำเลยและได้ถอนฟ้องแล้ว ผู้เสียหายคนอื่นก็ยังฟ้องคดี ได้อีก (ฎ.
อาญา ล่าสุด ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายอาญา ล่าสุด วิธีการเพื่อความปลอดภัย
3238/36) ทำความผิดข้อหาปลอมเอกสาร แล้วผู้ทำนำเอกสารนั้นไปใช้ กฎหมายให้ลงโทษข้อหาใช้หรืออ้ างเอกสารปลอมนั้นอย่างเดียว ดังนั้น เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องข้ อหาปลอมเอกสาร ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ ดขาดไปแล้ว ก็ต้องถือว่าความผิดในข้อหาใช้ หรืออ้างเอกสารปลอม คดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ วด้วย ฟ้องใหม่ในข้อหานี้อีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 11326/09 ป. ) ในความผิดที่รวมการกระทำหลายอย่ าง เมื่อมีการฟ้องเฉพาะการกระทำอย่ างใดอย่างหนึ่งจนศาลมีคำพิ พากษาไปแล้ว จะฟ้องการกระทำอื่นที่รวมอยู่ด้ วยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 424/20) เบิกความเท็จหลายตอนในคราวเดี ยวกันเป็นความผิดหลายกรรม (ฎ. 908/96) ความผิดฐานลักปืนของผู้เสี ยหายกับความผิดฐานมีอาวุธปืนดั งกล่าวไว้ในความครอบครองโดยไม่ ได้รับอนุญาต เป็นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 888/07 ป. ) ในความผิดกรรมเดียวผิ ดกฎหมายหลายบท ถ้าความผิดบทหนึ่งเสร็ จไปเพราะศาลชั้นต้น " จำหน่ายคดี เนื่องจากผู้เสียหายถอนคำร้องทุ กข์ " ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็ จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง จึงไม่ทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้ องในความผิดอื่นที่เป็นกรรมเดี ยวกันนั้น ระงับไปด้วย (ฎ. 7320/43)
2757/44) ศาลยกฟ้องเพราะขาดองค์ ประกอบความผิด เท่ากับฟังว่ าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้ องไม่เป็นความผิด แม้จะเป็นคำวินิจฉัยในชั้ นตรวจคำฟ้อง ก็ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ ดขาด ในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว(ฎ. 6770/46) ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเพราะฟ้ องมิได้กล่าวถึง เวลา สถานที่ ซึ่งจำเลยกระทำผิด เท่ากับฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชั ดว่าจำเลยกระทำผิดในเวลาใด สถานที่ใด เป็นการวินิจฉัยความผิ ดของจำเลยแล้ว ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 687/02 ป., 776/90 ป. ) การที่ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องไม่ ระบุเวลากระทำผิด ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว แต่ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะฟ้ องบรรยาย เวลาที่เกิดการกระทำ ผิดในอนาคต ซึ่งเป็นฟ้องเคลือบคลุม ถือว่าศาลยังมิได้วินิจฉั ยความผิดที่ได้ฟ้อง ฟ้องใหม่ได้ไม่ต้องห้ ามตามมาตรา 39(4) (ฎ. 1590/24) ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม เช่น การบรรยายเวลากระทำความผิ ดในอนาคต หรือการบรรยายฟ้องขัดกัน ถือว่ายังไม่มีคำพิพากษาเสร็ จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง จึงฟ้องใหม่ได้ (ฎ. 2331/14) กรณีโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนั ดตามมาตรา 166 ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ตาม ป. พ. มาตรา 132, 174 ประกอบ ป.
110 (4) 22) สั่งให้ครูออกจากราชการ ในกรณีต่างๆ เช่น เจ็บป่วย ยุบตำแหน่ง ไร้ประสิทธิภาพ จำคุก 6. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลสังกัด สพท. พ. 2546 กำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา ดังนี้ 1) ผู้อำนวยการฯเป็นผู้แทนของนิติบุคคลสถานศึกษา 2) นิติบุคคลสถานศึกษาถูกฟ้องร้อง ให้รายงาน สพท. แจ้งสพฐ. แต่งตั้งผู้รับผิดชอบดำเนินคดี 3) การบริหารบุคคลตามกฎหมาย พรบ. ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา 4) ยุบ รวม เลิกล้มรร. ตรวจสอบบัญชี ทรัพย์สิน โอน จำหน่ายตามหลักเกณฑ์ สพฐ. กำหนด 5) รร. มีอำนาจปกครอง ดูแล บำรุง รักษา ใช้ จัดหา ผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ แต่จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ กก. ต้องเห็นชอบ รายงานสพท. 6) รร. มีอิสระในการบริหารจัดการงบประมาณ พัสดุตามวงเงิน อำนาจที่เลขา กพฐ. มอบ หรือ ผอ. มอบตามหลักเกณฑ์ที่สพฐ. กำหนดยกเว้นเงินเดือน 7)จัดทำระบบการเงิน บัญชี ตามรบสพฐ. กำหนด และทรัพย์สินฯผู้อุทิศทำหลักฐานการรับ บัญชีรับ-จ่ายฯรายงาน ผอ. ทุกสิ้นปีงบประมาณ ผอ. ตรวจสอบและรายงานเลขา กพฐ. โดยเร็ว 7. อำนาจหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาตามระเบียบ กฎหมายอื่น เช่น - รบ.
5% ของทุกๆ การจ่ายเงินสมทบครบ 12 เดือน ด้วยเหตุนี้ หากระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบมากจำนวนเงินบำนาญชราภาพจะมากขึ้น และถ้าจ่ายไม่ครบ 12 เดือนจะไม่ได้ถูกปรับเพิ่ม 1. 5% (3) การตัดสินใจสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะทำให้ได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคมต่อไปโดยไม่จำกัดอายุจนกว่าความเป็นผู้ประกันตนจะสิ้นสุดลง แต่การตัดสินใจว่าต้องการได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคมต่อไปหรือไม่ภายหลังจากเกษียณอายุ ถือเป็นความจำเป็นของผู้ประกันตนแต่ละคน!! ที่มา: บางส่วนจากบทความ: " ผู้ประกันตน "เกษียณ…ขอรับเงินบำนาญ" ก่อนสมัครมาตรา 39" โดย: ปรานี สุขศรี วารสาร HR Society Magazine ปีที่ 18 ฉบับที่ 206 เดือนกุมภาพันธ์ 2563
บทบาทหน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 1) พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ. 2545 2) พรบ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ มาตรา 38 (กรรมการสถานศึกษา) มาตรา 39 (อำนาจหน้าที่ผู้บริหารสถานศึกษา) 3) กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ. 2547 (ออกตาม ม. 34 วรรคสี่ ของ พรบ. บริหารศธ. ) 4) กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกระจายอำนาจการบริหารและจัดการศึกษา (ออกตาม ม. 39 วรรคสอง พรบ. กศ แห่งชาติ 2542) 5) ระเบียบ ศธ. ว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ. 2546 (ออกตาม ม. 35 พรบ. บริหาร ศธ. ) 6) กฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์วิธีการสรรหากรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ. 2546 7) ระเบียบ กฎหมายอื่นๆ 2. บทบาทหน้าที่ของสถานศึกษาตามเจตนารมณ์ของ พรบ. การศึกษาแห่งชาติ 1) จัดทำนโยบายแผนพัฒนาการศึกษาด้านวิชาการ บุคคล งบประมาณ บริหารทั่วไป 2) จัดตั้ง/รับผิดชอบการใช้จ่ายงบประมาณ 3) พัฒนาหลักสูตร /จัดการเรียนการสอน 4) ออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ แนวปฏิบัติ 5) กำกับ ติดตามประเมินผลตามแผนงานโครงการ 6) ระดมทรัพยากร ปกครอง ดูแลบำรุงรักษาทรัพย์สินฯ 7) จัดระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 8) ส่งเสริมความเข้มแข็งชุมชน สร้างความสัมพันธ์ บทบาทหน้าที่ของผู้อำนวยการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 1.